BumQ 3

เครื่องบินฝึกไอพ่น T-33

T-33
เครื่องบินฝึกไอพ่
ากจะกล่าวถึงเครื่องบินฝึกไอพ่นอย่าง T-33 แล้ว คิดว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก โดยเฉพาะคนที่ชอบเครื่องบิน เพราะเครื่องบินฝึกไอพ่นแบบ T-33 เป็นเครื่องไอพ่นแบบแรกของกองทัพอากาศและเป็นเครื่องบินฝึกไอพ่นแบบแรกของกองทัพอากาศสหรัฐฯ

เครื่องบินฝึกไอพ่นแบบ T-33 สร้างโดยบริษัทล๊อคฮีท (Lockheed) ผู้สร้างเครื่องบินขับไล่ไอพ่นแบบ F-16 ในปัจจุบันนั่นเอง โดย T-33 ได้ถูกพัฒนาต่อยอดมาจากเครื่องบินขับไล่ไอพ่น F-80 ที่ใช้ในช่วงสงครามเกาหลีตอนต้น โดยช่วงแรกนั้นได้กำหนดชื่อสัญลักษณ์ของกองทัพอากาศสหรัฐฯว่า TF-80C ต่อมาจัดเข้าประจำการในกองทัพเรือสหรัฐฯโดยกำหนดชื่อเป็น TV-2

องทัพอากาศไทยได้รับ T-33A รุ่นแรกจากสหรัฐฯตามความช่วยทางทหารเพื่อปรับปรุงกองทัพ โดยกองทัพอากาศสหรัฐฯได้ทำการฝึกนักบินไทยตามความช่วยเหลือทางทหารที่ฐานทัพอากาศ โยโกต้า ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งประกอบด้วย พล.อ.ท.ทวี จุลละทรัพย์  พล.อ.ต.บุญชู จันทรุเบกษา และ พล.อ.ต.มานพ สุริยะ ในช่วงปี 2498 โดยที่นักบินทั้ง 3 ท่าน ซึ่งถือว่าเป็นนักบินเจ็ตรุ่นบุกเบิก 3 คนแรกของประเทศไทย ที่ไปทำการฝึกบินที่ประเทศญี่ปุ่น แล้วนำเครื่องเหล่านี้กลับมาเมืองไทย

นายพลอากาศทั้ง 3 นายที่มียศขณะนั้นท่านได้รับคำสั่งจาก จอมพลอากาศ ฟื้น รณนภากาศ ฤทธาคนี ผู้บัญชาการทหารอากาศ ให้ไปฝึกเครื่องบินไอพ่นและให้นำเครื่องบินไอพ่นแบบ T-33A กลับมาเมืองไทย ชนิดที่ว่า ก่อนไปนั้นว่ากันว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของอเมริกาโรเบิร์ต แม็กนามารา ซึ่งเคยดูถูกดูแคลนนักบินไทยว่า "แค่เครื่องบินขับไล่แบบสปีตไฟร์ท นักบินไทยก็นำไปตก แล้วจะไปบินอะไรได้กับเครื่องไอพ่น"

พลอากาศโท ทวี จุลละทรัพย์ นักบินขับไล่ฝีมือเยี่ยมอดีตผู้บังคับฝูงบินขับไล่ฮายาบูซ่า เครื่องบินขับไล่ที่สุดยอดที่สุดของไทยและญี่ปุ่นในภูมิภาคแทบนี้ เป็นหัวหน้าชุดเดินทางไปทำการฝึกบินและรับเครื่องบินชุดนี้ ท่านก็ตอบเจ้าหน้าที่อเมริกันที่ชอบดูถูกดูแคลนคนเอเชียไปว่า "สมัยก่อนที่ญี่ปุ่นจะโจมตีเพิลฮาเบอร์นั้น ทางหน่วยสืบราชการลับของอเมริกาได้ทราบว่านักบินญี่ปุ่นไม่มีความสามารถในการบินเทียบเท่านักบินอเมริกัน เพราะชาวญี่ปุ่นส่วมมากสวมแว่นตา ซึ่งส่งผลให้เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นอย่างไรก็รู้อยู่แล้ว" เจ้าหน้าที่อเมริกันจึงยอมและให้สัญญาว่า ถ้าปล่อยให้บินเดี่ยวได้ ก็จะปล่อยให้นำเครื่องบิน T-33A กลับเมืองไทยได้เลย

โดยเฉพาะนายพลทั้ง 3 ท่าน ที่เคยเป็นนักบินขับไล่ฮายาบูซ่า และ โอตะ ไล่ยิงเครื่องบินอเมริกันเหนือน่านฟ้าไทยมาแล้ว เพียงแค่ 3 สัปดาห์ ท่านทั้ง 3 ก็ปล่อยเดี่ยวและพร้อมที่จะนำเครื่องบิน 3 เครื่องแรกกลับสู่ประเทศไทย

วันที่ 27 กรกฏาคม พ.ศ. 2498 นายพลทั้ง 3 และนักบินอเมริกันก็นำเครื่องบินไอพ่นแบบ T-33A  สามเครื่องแรก มาลงยังสนามบินดอนเมือง โดยมีจอมพลอากาศ ฟื้น รณนภากาศ ฤทธาคนี ผู้บัญชาการทหารอากาศ สมัยนั้นและอดีตเจ้ากรมอากาศยาน ผู้ที่ชาวเวหาถือว่าเป็นบุพการีของกองทัพอากาศ คือ พลอากาศโท พระยาเฉลิมอากาศ ที่ไปคอยรับและท่านได้กล่าวอย่างยินดีว่า "ผมขอแสดงความยินดีและปลื้มใจในพวกคุณมาก คุณทวีฯ ผมได้เคยนำเครื่องบินใบพัดเข้ามา แต่บัดนี้พวกคุณได้นำเครื่องบินเจ็ตเข้ามา นับว่าเป็นก้าวหนึ่งที่กองทัพอากาศของเราได้ก้าวไปข้างหน้า ไปสู่อนาคตอันจะยิ่งก้าวหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง"

กองทัพอากาศไทยได้รับมอบ T-33A ชุดแรก 3 เครื่อง ในเดือนกรกฏาคม 2498 ถัดมาไม่กี่เดือน กองทัพอากาศไทยก็ได้รับมอบ T-33A เพิ่มอีก 6 เครื่อง  ปี 2499 ได้รับเพิ่มอีก 7 เครื่อง จากกองทัพอากาศสหรัฐฯ แบบให้เปล่า ตามโครงการช่วยเหลือทางทหารและทดแทน บ.T-33A ที่ต้องจำหน่ายเพราะนักบินไทยต้องฝึกกันอย่างหนัก เพื่อเตรียมรับเครื่องบินเจ็ตขับไล่แบบ F-84G ในปี 2507-2513 กองทัพอากาศสหรัฐฯได้มอบ RT-33A เครื่องบินลาดตระเวนถ่ายภาพทางอากาศที่นั่งเดี่ยว ให้กองทัพอากาศไทย ตามความช่วยเหลืออีกจำนวนหนึ่งตามระเบียบเดิม ที่ประเทศซึ่งได้รับความช่วยเหลือทางทหารจากสหรัฐฯได้ตกลงกันไว้ว่า หากเครื่องบินและอาวุธยุทธโธปกรณ์ต่างๆ ที่ได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ เมื่อปลดประจำการแล้ว จะต้องส่งคืนกองทัพสหรัฐฯหรือจะต้องทำลายทิ้ง


ซึ่งจะพบได้ว่าในภายหลังเครื่องบินส่วนใหญ่จะถูกทำลายทิ้งเพื่อไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของฝ่ายตรงข้าม ตามยุคสงครามเย็น (ก่อนปี 1989) แต่หากยังพอใช้อยู่ได้บ้าง ก็จะส่งมอบคืนให้สหรัฐฯและสหรัฐฯก็จะมอบให้กับประเทศอื่นๆอีกครั้ง

ตัวอย่างการโอนมอบเครื่องบินและอาวุธยุทธโธปกรณ์ต่างๆ
ให้กับประเทศอื่นของสหรัฐอเมริกา
เช่น

  • เครื่องบินแบบ F-8F ของกองทัพอากาศเวียตนามใต้ จำนวนราวๆ 20 เครื่อง โอนให้กองทัพอากาศไทยเพื่อใช้เป็นอะไหล่ให้กับ F-8F BEARCAT ที่กองทัพอากาศไทยมีมากกว่า 100 เครื่อง เมื่อได้รับ T-28 มาทดแทน

  • ปี 2527 กองทัพอากาศไทยปลดประจำการ T-28D ราวๆ 20 เครื่อง ส่วนหนึ่งขอไว้ตั้งโชว์ตามกองบินต่างๆ ซึ่งภายหลังมูลนิธิอนุรักษ์อากาศยานไทยได้บูรณะทำให้กลับมาบินได้อีก 6 เครื่อง ที่เหลือต้องคืนให้กองทัพอากาศสหรัฐฯ และภายหลังกองทัพอากาศสหรัฐฯ ก็มอบ T-28D เหล่านี้ให้กองทัพอากาศฟิลิปินส์ในเวลาต่อมา

ที่กล่าวมานี้ถ้าสังเกตุจะพบว่า T-33A ที่พบเห็นในประเทศไทยขณะนี้จะมีไม่กี่เครื่องที่เป็นเครื่องบินในรุ่น ปี 2498-2513 โดยดูได้จากช่วงหลังๆเลขที่ขีดเขียนไว้ใต้ชุดพวงหางทั้ง 2 ข้างที่ลงท้ายว่า -13 นั้นหมายความว่า เข้าประจำการในปี 2513 ไม่ว่าจะลงท้ายด้วยเลขอะไร เราก็สามารถเทียบกับปี พ.ศ. หรือ ค.ศ. แต่

ระยะหลังเราจะเห็น -26 หรือ -31 ก็คือได้จัดซื้อจากกองทัพอากาศฝรั่งเศสจำนวน 12 เครื่องในปี 2526 และจากกองทัพอากาศสหรัฐฯจำนวน 7 เครื่องในปี 2531  ซึ่งรวมแล้วกองทัพอากาศสหรัฐฯได้มอบ T-33A และ RT-33A ไว้ในประจำการตั้งแต่ 27 กรกฏาคม 2498 จนถึงวันปลดประจำการ 30 กันยายน 2538 รวม 38 เครื่อง จากข้อมูลที่ศึกษาพบว่าเครื่องบินในชุด T-33A ที่เก่าที่สุดไม่ได้อยู่ตั้งแต่ปี 2498-2538 (40 ปี)  แต่ที่เก่าที่สุดคือ RT-33 เครื่องบินลาดตระเวนที่เข้าประจำการในปี 2513-2538 เป็นเวลา 25 ปีที่มีเหลืออยู่ 3 เครื่องและปลดประจำการไปแล้ว

T-33A เดิมมีฉายาว่า "SHOOTING STAR" ภายหลังเปลี่ยนฉายาใหม่
เพราะฉายาเดิมนั้นเป็นของ F-80 โดยเปลี่ยนมาใช้ชื่อว่า "T-BIRD"
T-33A ได้รับสัญลักษณ์ในกองทัพอากาศไทยว่า "บฝ-11"
RT-33A ได้รับสัญลักษณ์ในกองทัพอากาศไทยว่า "บตฝ-11"

โดยทั้งหมดทั้งหมดเข้าประจำในฝูงบินฝึกขับไล่ที่ 10 โดยมี น.ต. บัญชา สุขานุศาสตร์ เป็นผู้บังคับฝูง โดยประจำการร่วมกับฝูงบินฝึกขับไล่ที่ 12 และ ที่13 และประจำการอยู่ในกองบิน 1 ซึ่งแต่เดิมนั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ต่อมาในปี 2504 ฝูงบิน 10 เปลี่ยนชื่อเป็นฝูงบิน 11 โดยมีภารกิจฝึกนักบินไอพ่นให้พร้อมบินกับเครื่องบินขับไล่ไอพ่น


ลายปี 2522 กองทัพอากาศจำเป็นต้องย้ายกองบิน 1 จากฝั่งท่าอากาศยานดอนเมือง ไปอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมาแทน ซึ่งสนามบินที่อยู่จังหวัดนครราชสีมาเคยเป็นสนามบินที่กองทัพอากาศสหรัฐฯสร้างไว้คือ กองบินขับไล่ที่ 388 ที่สหรัฐฯถอนกำลังทหารออกจากประเทศไทยหมดแล้ว

ในเดือนตุลาคม 2522 ฝูงบิน 101 ถอนตัวเป็นฝูงสุดท้าย จากดอนเมืองไปโคราชจนกระทั่งปี 2528 ฝูงบิน 101 ก็ย้าย T-33A และ RT-33 จากกองบิน 1 จากโคราชไปยังที่ตั้งใหม่ คือ กองบิน 56 ฝูง 561 ฐานทัพอากาศหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ปฏิบัติหน้าที่ฝึกบินและลาดตระเวนพิทักษ์ทรัพยากรทางทะเล ทางภาคใต้ของไทย จนกระทั่งปี 2538 ก็ปลดประจำการไปในที่สุด.

 

US.NAVY SEAL

ก่อนจะเป็นหน่วย
US.NAVY SEAL
หน่วยปฏิบัติการพิ
นปี 1943 หน่วยสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกของนาวิกโยธินได้ทำการยกพลขึ้นบกที่ทาวาร่า แต่ด้วยข้อมูลข่าวกรองที่ไม่เพียงพอเกี่ยวกับแนวหินโสโครกและกระแสน้ำรอบๆพื้นที่ จึงทำให้ยานลำเลียงพลสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก มีอันต้องเกยตื้น ติดอยู่ที่แนวหินโสโครกหลายร้อยหลา ก่อนจะเทียบขึ้นชาดหาด
 

เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้เหล่านาวิกโยธิน ต้องบุกตะลุยน้ำทะเลในระยะทางที่เหลือ โดยแบกเครื่องสนามเต็มอัตราศึกไว้บนหลัง ผลที่ตามมาคือความย่อยยับที่ไม่อาจหลีกหนีพ้น นาวิกโยธินทำยกพลขึ้นมีอันต้องจมน้ำตาย ขณะตะเกียกตะกายเข้าหาฝั่งเป็นจำนวนมาก นับเป็นโศกนาฏกรรมขั้นรุงแรงของเหล่านาวิกโยธิน มันรุนแรงมากเกินกว่าจำนวนนาวิกโยธินที่ถูกสังหารโดยทหารของพระจักรพรรดิญี่ปุ่นเสียอีก
 
บทเรียนจากผลพวงอันอัปยศอดสูครั้งนี้ ทำให้พลเรือเอก เคลลี่ เทอร์เนอร์ ก่อตั้ง "หน่วยสอดแนม" (SCOUT UNIT : หน่วยสอดแนม - แมวมอง) ขึ้นโดยดึงยอดฝีมือจากหน่วยนักทำลายทางน้ำเข้าร่วมก่อตั้งทีม เพื่อใช้สอดแนมและทำลายสิ่งกีดขวางตามแนวชายฝั่ง อันจะเป็นอุปสรรคในการยกพลขึ้นบก

พวกเขาใช้ชื่อหน่วยงานนี้ว่า "UNDERWATER DEMOLITION TEAM" หรือ "นักทำลายใต้น้ำ" ชื่อย่อ "UDT" หน่วยเริ่มปฏิบัติภาระกิจในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

หลังจากเสร็จสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 หน่วย UDT ได้ยุบหหน่วยงานลง แต่ยังคงเหลือไว้เพียงทีมเล็กๆ ซึ่งพวกเขายังคงพัฒนาฝีมือของพวกเขาต่อไปจวบจนปี 1947 เครื่องมือช่วยหายใจได้ถูกนำมาใช้ในการดำน้ำ โดยก่อนหน้านี้ UDT ยังเป็นเพียงแค่หน่วยงานที่อาศัยการว่ายน้ำและดำน้ำ โดยกลั้นหายใจเป็นหลัก ในปีเดียวกันนี้เองที่ชุดดำน้ำได้ถูกพัฒนาตามออกมาเพื่อเหล่ามนุษย์กบโดยเฉพาะ
 
ปี 1961 ประธานาธิบดีหนุ่มไฟแรง JFK ได้มีคำสั่งโดยตรงให้เพิ่มขีดความสามารถและขอบข่ายในการทำสงครามนอกแบบ (Unconventional Warfare) กองทัพเรือตอบสนองต่อคำสั่งนี้ด้วยการออกแบบเรือท้องแบนสำหรับภาระกิจทางน้ำ ในสงครามนอกแบบพร้อมทั้งปรับปรุง UDT ให้เป็นหน่วยงานที่เยี่ยมที่สุดสำหรับการทำสงครามแบบกองโจร (Guerrilla Warfare) และยังก่อตั้ง "หน่วยปฏิบัติการพิเศษ" (Special Operations Teams) ขึ้น โดยมอบหมายหน้าที่สังเกตุการณ์และสอดแนมให้กับ UDT เป็นผู้รับผิดชอบ โดยมีรหัสเรียกขานในภายหลังที่เป็นที่ทราบกันดีจนถึงปัจจุบันว่า SEAL (Sea Air Land) อันหมายถึงขอบเขตความสามารถในการปฏิบัติภาระกิจได้ทุกสภาพพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นในน้ำ บนฟ้า หรือบนบก ดังที่เรียกกันในบ้านเราว่า "น้ำ ฟ้า ฝั่ง"

SEAL (ซีล) หน่วยแรกเข้าประจำการเมื่อ 1 มกราคม 1962
จากนั้นเป็นต้นมาจนเข้าสู้ยุคสงครามเวียตนามมาถึง SEAL ได้มีบทบาทอย่างมากจนมีความต้องการที่จะแยกตัวออกจาก UDT เพราะ SEAL มีบทบาทโดดเด่นจนกลืน UDT แทบจะตายไปหมดและในที่สุด วันที่ 1 พฤษภาคม 1983 UDT ก็ได้ยุบตัวลงเปิดหน่วยอย่างเป็นทางการและรวมทีมเข้ากับหน่วย SEAL และผลงานฝากชื่อครั้งสุดท้ายของ UDT คือการกู้แคปซูลยานอวกาศ "APOLLO" (อพอลโล) ที่ไปเยือนดวงจันทรกลับมายังโลกได้ปลอดภัย
 

ทุกวันนี้ SEAL มีบทบาทอย่างมากในปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายและกบฏทั่วทุกมุมโลก พวกเขาเป็นผู้พัฒนาอาวุธรวมไปถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันและชื่อเสียงของพวกเขาเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลก  US.NAVY SEAL

Crossbower อิศวินหน้าไม้

Crossbower
รอสโบวเออร์ เป็นนักรบเมื่อปีคริสต์ศักราช 1380 ซึ่งเป็นยุคต้นๆ ยุคที่มีอัศวินในยุคแรก มีปราสาทราชวัง ซึ่งยุคนั้นผมว่าอัศวินเสื้อเกราะเป็นแบบที่คลาสสิคมากๆ ผมจะนึกถึงภาพของอัศวินโต๊ะกลมและกษัตริย์อาเธอร์ประมาณนั้น มีการดวลทวนกันบนหลังม้าซึ่งมีการประดับประดาตัวม้าอย่างสวยงาม พวกอัศวินก็จะสวมชุดเกราะที่หนักอึ้ง แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีสิทธิ์สวมเกราะอัศวินได้ เพราะผู้ที่เป็นอัศวินอย่างแท้จริงนั้นจะต้องมีฝีมือทั้งการรบแทบทุกรูปแบบ ทุกระยะประชิด ใช้อาวุธต่างๆได้อย่างชำนาญยามสถานการณ์คับขันได้เป็นอย่างดี จึงจะมีสิทธิ์ที่จะเป็นอัศวินได้

ยุคนี้เข้าสู่ยุคที่มีการใช้หน้าไม้เป็นอาวุธแล้วเริ่มทันสมัยขึ้น ในขณะที่ยุคก่อนหน้านั้นเป็นยุคที่ใช้ธนูในการยิงต้องค่อยๆ หยิบลูกธนูขึ้นมาง้างทีละดอกแล้วยิง แต่หน้าไม้สามารถขึ้นง้างไว้ก่อนได้เผื่อมีข้าศึกจะสามารถยิงได้ทันท่วงที 
ตัวนี้เป็นผลิตภัณฑ์ของเวอร์ลินเดนผู้ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำในวงการฟิกเกอร์ มีชิ้นส่วนมาให้หลายชิ้น หัว 1 ชิ้น ตัว 1 ชิ้น แขน 2 ชิ้น ถุงมือ 2 ชิ้น ช่วงขา 1 ชิ้น เท้าอีก 2 ชิ้น ซองใส่ลูกธนู 1 ชิ้น ลูกธนู 6 ชิ้น ดาบอีก 2 ชิ้น ส่วนหน้าไม้แยกมาให้ทั้งหมด 5 ชิ้น เกราะสีเงินตรงหน้าอกอีก 2 ชิ้นและฐานปูนแยกมา 3 ชิ้น

 
วิธีทำสีนั้นเริ่มจากฐานก็ประกอบฐานก่อน แล้วทำสี ใช้สีเทาเบอร์ 11 พ่น แล้วพ่นไล่ด้วยเบอร์ 35 ตามร่องของแผ่นหิน จากนั้นก็เวทเธอร์ริ่งด้วย สีน้ำมันเบอร์ 35 ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วก็แต้มด้วยสีน้ำมันเขียวเบอร์ 34 จากนั้นก็มาทำสีลำตัว ชุดข้างในใช้สีเขียวผสมดำแล้วพ่นลงไป แล้วใช้สีเดิมผสมดำให้เข้มขึ้นไปอีก แล้วทาตามร่องรอยเกลี่ยพอประมาณ สีโลหะก็ใช้เบอร์ 28  ตามด้วยดรายบรัชสีเงิน

ส่วนชุดเกราะดำใช้มิสเตอร์เมทัลลิกเบอร์ 214 ทาแล้วเช็ดเบาๆให้ขึ้นเงา อย่าเช็ดแรง เพราะจะทำให้สีลอกออกหมด จากนั้นก็เก็บรายละเอียดที่เป็นสีน้ำตาลโทนเดียวกันหมด แต่ไม่แนะนำให้ใช้สีน้ำตาลเป็นโทนเดียวกันหมด ให้ปนสีดำลงไปบ้าง สีแดงลงไปบ้าง เพื่อให้ออกมาเป็นธรรมชาติที่สุด เสร็จแล้วก็พ่นด้านในส่วนที่ควรจะพ่น มี ผ้า หน้าไม้ รองเท้า ส่วนฐานก็ควรพ่นด้านในด้วยเช่นกัน

Eric HartMann สอยเครื่องบินพันธมิตรตก 353 ลำสถิติโลก

 Eric HartMann
สอยเครื่องบินพันธมิตรตก 353 ลำสถิติโลก
 


















ศึกเวหาเหนือน่านฟ้าเยอรมันในช่วงปี 1943 นั้นถือได้ว่าเป็นการประลองยุธครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างนักบินพันธมิตรและนักบินนาซีเยอรมัน โดยเฉพาะในการรบเหนือน่านฟ้าเมือง "ชไวน์เฟิร์ท" แห่งเดียวก็ดุเดือดที่สุดในประวัติศาสตร์การรบทางอากาศของโลกเลยทีเดียว มีเครื่องบินรบเขาร่วมสังฆกรรมไม่ต่ำกว่า 500 ลำ ทั้งของเยอรมันและสัมพันธมิตร โดยเฉพาะของอเมริกา การที่พันธมิตรลงมือโจมตีเมืองชไวน์เฟิร์ทในครั้งนี้นับว่าเสี่ยงอย่างร้ายกาจ เพราะด้วยเหตุที่นักบินรบเยอรมันที่อยู่ในระดับหัวกะทิได้มารวมตัวอยู่ในบ้านของตนเองอีกครั้งหลังจากที่ได้ออกสู่แนวหน้ามานาน ฉะนั้นแล้วการต่อต้านทางอากาศของทัพฟ้าเยอรมัน ย่อมจะต้องดุเดือดอย่างไม่ต้องสงสัย

ว่ากันว่านักบินเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ถือได้ว่าเป็นสุดยอดจัดเป็นนักบินขับไล่ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก ดูได้จากสถิติการยิงเครื่องบินรบของข้าศึกตกกลางอากาศเบ็ดเสร็จรวมกันแล้วมากกว่านักบินของพันธมิตรรวมกันทั้งหมดเสียอีก


ในการรบที่ชไวน์เฟิร์ทนี้ก็เช่นกัน นักบินเยอรมันนำเครื่องบินแทบทุกชนิดเท่าที่ตนมีอยู่ในขณะนั้นไม่ว่าจะเป็นเครื่องรุ่นเก่าอย่าง เมชเชอร์สมิทบี เอฟ109 ไปจนถึงเครื่องเอ็มอี210 ซึ่งอยู่ในขั้นทดสอบประสิทธิภาพก็ยังอุตส่าห์เอาเข้าทำการรบจนได้ ซึ่งทำความเสียหายให้แก่ขบวนเครื่องบินทิ้งระเบิดและเครื่องขับไล่อเมริกันมากมาย

นักบินเยอรมันที่จัดอยู่ในอันดับแถวหน้าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีอยู่ด้วยกันหลายคน แต่บุคคลที่จะยกตัวอย่าง เป็นสุดยอดแห่งเสืออากาศเยอรมัน ผู้ทำสถิติยิงเครื่องบินข้าศึกสูดสุดถึง 353 ลำ และสถิตินี้ถือได้ว่าเป็นสถิติที่สุดที่สุดในโลกตลอดกาลของการรบทางอากาศ เขาผู้นั้นมีนามว่า เอริค ฮาร์ทมานน์

ฮาร์ดมานน์เกิดในชนบทเล็กๆแห่งหนึ่งนามว่า ไว้ส์สัค เมื่อวันที่ 19 เมษายน ปี 1922 บิดาเป็นแพทย์ มารดาเป็นเจ้าของสโมสรการบินเล็กๆ เมื่อตอนเด็กฮาร์ทมานน์ได้มีโอกาสสัมผัสเครื่องบินลำแรกในชีวิตโดยมารดาของเขา ซึ่งขณะนั้นมารดาของเขาเป็นนักบินหญิงที่เก่งกาจ มารดาของเขาจึงชอบพาลูกน้อยติดสอยห้อยตามขึ้นไปกับเครื่องบินอยู่บ่อยๆ นั่นเองจึงทำให้ฮาร์ทมานน์รู้สึกรักและชอบการบินเป็นชีวิตจิตใจ จนเมื่อจบไฮสกูล ฮาร์ทมานน์จึงเข้าสมัครเป็นศิษย์การบินของกองทัพอากาศใหม่ ในขณะที่กองทัพเยอรมันกำลังเข้าบดขยี้กลุ่มประเทศยุโรปในปี 1940

หลังจากการฝึกฝนอย่างหนักของโรงเรียนการบินลุฟวัฟเฟ่ เขาสำเร็จออกมาบินกับเครื่องเมสเชอร์สมิท BF 109 และเข้าประจำการในแนวหน้ารัสเซียทันที ที่ผ่านมาในช่วงแรกๆของชีวิตการเป็นลูกทัพฟ้าของฮาร์ทมานน์ดูเหมือนว่าจะย่ำแย่เต็มที ทำอะไรก็ผิดหูผิดตาผู้บังคับฝูงไปเสียหมดทุกเรื่อง การเสนอแนวคิดในการรบของเขาที่แปลกออกไปก็ไม่ค่อยจะมีใครยอมรับเสียอีก หนำซ้ำยังถูกกักกันบริเวณเสียอีกหนึ่งอาทิตย์ โทษฐานทำท่าบินผาดโผนโดยไม่ได้รับอนุญาติ แต่นั้นล่ะ เพชรอยู่ที่ไหน ก็คือเพชร ฮาร์ทมานน์เริ่มที่จะพยายามปรับปรุงตัวเองหมั่นฝึกฝนจากนักบินรุ่นพี่ที่มีความสามารถหลายคน แล้วนำมาดัดแปลงให้เข้ากับยุทธวิธีของตนเองอย่างกลมกลืน

จนในที่สุดเขาก็สามารถนำยุทธวิธีของตนเข้าห้ำหันข้าศึกจนได้รับชัยชนะเรื่อยมา ยุทธวิธีของเขาคือ พยายามเข้าหาข้าศึกให้ใกล้มากที่สุดโดยที่ข้าศึกไม่ทันรู้ตัว แล้วปล่อยกระสุนออกไปในระยะที่คิดว่าข้าศึกไม่รอดแน่ ในที่สุดแต้มของเขาก็มาถึง 140 เครื่อง เขาจึงได้รับเหรียญกางเขนเหล็ก อันเป็นเหรียญกล้าหาญชั้นอัศวิน ที่ใครๆต่างก็ต้องการมาประดับไว้ จนเมื่อแต้มของเขาพุ่งสูงถึง 300 เครื่อง เขาได้ประดับเพชรที่แถบเหรียญกล้าหาญ อันเป็นอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดที่ตัวฮิตเลอร์มาประดับให้ด้วยตนเอง จนเมื่อเยอรมันพ่ายแพ้แก่พันธมิตรเขาถูกจับเป็นเชลย โดยติดคุกอยู่ในรัสเซีย 10 ปี หลังจากนั้นจึงถูกปล่อยตัวออกมาในปี 1955



ฮาร์ทมานน์ได้เดินทางกลับไปอยู่ในเยอรมันตะวันตกและกลับเข้าร่วมพัฒนากองทัพอากาศตะวันตกยุคใหม่จนถึงปี 1973 เขาก็ได้ลาออกจากกองทัพอากาศแล้วใช้ชีวิตอยู่อย่างสามัญชนกับภรรยาสุดที่รักเออร์ซูล่า อย่างมีความสุขจวบจนกระทั่งปัจจุบัน






CHAPARRAL ป้องกันภัยทางอากาศ

CHAPARRALาปาร์รัล จัดเป็นระบบป้องกันภัยคุกคามทางอากาศตั้งแต่ระดับต่ำไปจนถึงระดับปานกลาง โดยใช้อาวุธปล่อยแบบ ไซด์ไวน์เดอร์ พร้อมยิงสี่นัด ติดตั้งบนรถสายพานลำเลียงแบบ M703 โดยปกติเมื่อเคลื่อนที่ แท่นยิงจะลดระดับลงต่ำ แต่เมื่อตรวจจับได้ถึงภัยคุกคาม แท่นปล่อยอาวุธจะยกตัวสูงขึ้นพร้อมที่จะทำการยิงโดยพลประจำแท่น ซึ่งเมื่อทำการเล็งด้วยสายตาเพื่อทำการล็อคเป้าหมายด้วยอุปกรณ์ค้นหาและเกาะติดเป้าหมายด้วยคลื่นความร้อน (อินฟาเรต) จรวดจึงถูกยิงออกไปโดยอัตโมมัติ

ในการพัฒนาอาวุธปล่อยแบบชาปาร์รัลนี้ได้มีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1970 เรื่อยมาจนกระทั่งมีการสับเปลี่ยนนำเอาหัวรบที่มีอนุภาพทำลายล้างรุนแรงขึ้นและใหญ่ขึ้นเข้ามาแทนของเก่า หรือแม้กระทั่งมอเตอร์ดินขับที่มีกำลังส่งมากกว่ารุ่นแรกๆ จนเมื่อทำการส่งมอบให้แก่กองทัพบกสหรัฐอเมริกา ชาปาร์รัลรุ่นแรกได้เข้าประจำการในเดือน กรกฎาคม ปี 1987 เรื่อยมา แต่ทว่ายังไม่เคยได้เข้าสู่สนามรบจริงๆเสียที จนกระทั่งเมื่อกองทัพบกอิสราเอลซึ่งเป็นหนึ่งในชาติพันธมิตรของอเมริกาในภูมิภาคตะวันออกกลางได้นำเอาระบบชาปาร์รัลนี้เข้าสู่สนามรบเป็นครั้งแรกในเดือน ตุลาคม ปี 1973


อิสราเอลสามารถยิงเครื่องบินรบของประเทศพันธมิตรอาหรับตกได้เป็นครั้งแรกด้วยระบบอาวุธชนิดนี้ ซึ่งเครื่องบินรบที่ถูกยิงตกนั้นเป็น MIG-17 ของประเทศซีเรีย แต่ทว่าศักยภาพในการพัฒนาระบบอาวุธปล่อยชนิดนี้เป็นไปได้ค่อนข้างยากลำบากและมีราคาแพง

แต่กระนั้นก็ดีระบบอาวุธปล่อยแบบนี้ก็ยังถูกวางกำลังเอาไว้อย่างกว้างขวางจวบจนกระทั่งปัจจุบันและในสงครามอ่าวเปอร์เซียระบบอาวุธปล่อยชาปาร์รัลนี้ได้มีโอกาสเข้าร่วมสู่สมรภูมิครั้งนี้ด้วย แต่ไม่ค่อยมีบทบาทเท่าใดนัก เมื่อถูกอาวุธปล่อยนำวิถีตัวใหม่กว่าอย่าง "เพเตรียต" (บ้านเราเรียกว่า "แพทติออต") บทบังรัศมีอย่างเทียบไม่ได้

ปัจจุบันอาวุธปล่อยชาปาร์รัลนี้ถูกบรรจุประจำการอยู่แทบทุกภูมิภาคทั่วโลกโดยเฉพาะชาติพันธมิตรโลกเสรีอย่างอิสราเอล ไต้หวัน เอควาดอร์ กรีซ โมร็อคโก ตูนีเซีย และสหรัฐอเมริกา

 

ฉะนั้นจึงเป็นที่มั่นใจได้อย่างหนึ่งว่าอาวุธปล่อยชาปาร์รัลนี้จะยังคงเป็นระบบต่อต้านอากาศยานระดับกลางจวบจนสิ้นทศวรรษนี้อย่างแน่นอน

NIGHTHAWK STEALTH


LOCKHEED F - 117 NIGHTHAWK STEALTH FIGHTER

ชื่อเครื่องบินที่เรารู้จักสั้นๆว่า "STEALTH" ประวัติโดยสังเขปของ F - 117 ผลิดโดย "SKUNK WORK" เป็นโรงงานที่ถูกสร้างขึ้นโดยบริษัท LOCKHEED F - 117 ถือกำหนดจากโรงงานในปี 1987 เป็นเครื่องบินที่สามารถหลุดรอดการตรวจจับของเรดาห์ได้ หรือ วัสดุที่เรียกว่า RAM (Radar Absorbent Material)
 
ในส่วนของผิวเครื่องบินเคลือบด้วยวัสดุ EPOXY รวมทั้งในการออกแบบรูปร่างในส่วนต่างๆของเครื่อง F-117 มีผลต่อการสะท้อนคลื่นเรดาห์น้อยมาก GENNERAL ELECTRIC F - 404 - GE - F - 1D2 TURBOFAN 2 เครื่องยนต์ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ F-117 ทะยานขึ้นฟ้าด้วยความเร็ว 9 MACH นักบินสามารถเร่งและลดความเร็วจนถึงหยุด ได้ในเวลาอันรวดเร็ว รวมทั้งการเปลี่ยนทิศทางการบินได้อย่างรวดเร็ว จึงส่งผลให้ F-117 เป็นเครื่องบินที่ทำหน้าที่ได้หลายอย่างด้วย เช่น สอดแนม โจมตี ทิ้งระเบิด ฯลฯ ได้อย่างดีเยี่ยม


F-117 ขึ้นบินทดสอบครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 1982 ที่ GROOM LAKE รัฐ NAVADA สหรัฐอเมริกา โมเดลตัวนี้เป็นสเกล 1/72 รายละเอียดพอใช้ได้ ชิ้นส่วนทั้งหมด 31 ชิ้น ประกอบค่อนข้างง่าย


GERMAN TROOPER



GERMAN TROOPER
หารเยอรมันครึ่งตัวหน้าตาดุดันสมกับเป็นนักรบ คือ ทหารเยอรมันเหล่าทหารบกสังกัดกรมทหารราบยานยนต์ "โกร๊ซด๊อยชลันด์" 


เรารู้ได้อย่างไรว่าทหารผู้นี้สังกัดหน่วยไหนเราดูได้จากบ่าของเขาครับ เพราะว่าที่บ่าของทหารผู้นี้จะมีตัวอักษรว่า "GD" ปักไขว้กันอยู่ นอกเหนือไปจากอินทรธนูบอกยศซึ่งจากโมฯบอกว่ามียศเป็นสิบตรีสังกัดหน่วยทหารราบยานยนต์

ทหารผู้นี้คือทหารสังกัดกองทัพแห่งชาติหรือ"แวร์มัคท์" (Wehrmacth) แปลว่า กองทัพแห่งชาติหรือตรงกับภาษาอังกฤษว่า "National Armed Force" หรือก็คือทหารปกติ 3 เหล่าในประเทศทั่วไปนั้นเอง แต่ที่เยอรมันนี้มีกองกำลังทางทหารที่เรียกว่า SS อยู่ด้วย


 


การบ่งชี้ถึงเหล่าทัพนั้น จึงต้องบอกด้วยว่าทหารผู้นั้น เป็น SS หรือ Wehrmacth เครื่องแบบสำหรับนายทหารประทวนหรือนายสิบนี้ ในของจริงจะทำด้วยผ้าวูลที่เรียกอีกอย่างว่าผ้าสักหลาดสีเขียวปนเทา หรือ "ฟิลด์เกรย์" ในภาษาอังกฤษ ส่วนในภาษาเยอรมันเรียกสีนี้ว่า "เฟลด์ เกรา" (Feldgrau) หรือสีเขียวทุ่งเพราะฉะนั้นหากว่าไปได้ยินหรือเห็นคำที่ว่านี้ที่ไหน ก็ขอให้รู้ไว้ว่ามันเป็นสีเดียวกัน

NAPOLEON

Napoleon Bonaparte
โปเลียน โบนาปาร์ต เกิดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1769 ที่เกาะคอร์ซิก้า ซึ่งในตอนนั้นคอร์ซิก้าเป็นเมืองอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส เป็นทหารเมื่ออายุได้เพียง 16 ปี ในปีค.ศ. 1789 เกิดการปฏิวัติใหญ่ในหมู่ทหารก็แบ่งเป็นพวกที่ภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ฝรั่งเศส กับ อีกพวกเป็นฝ่ายปฎิวัติ นโปเลียนเลือกเข้าอยู่กับฝ่ายปฎิวัติเนื่องจากเล็งเห็นการณ์ไกลว่าฝ่ายปฎิบัติมีแววจะชนะและได้พยายามกู้เอกราชให้คอร์ซิก้าแต่ไม่สำเร็จ
ตอนนั้นนโปเลียนมียศร้อยตรี ในนายทหารปืนใหญ่และอยู่ในสังกัดพรรคจาคอแบง เขาแสดงผลงานในการทำศึกสงครามชนะหลายครั้ง จนได้เลื่อนขั้นเป็นระดับนายพลด้วยวัยเพียง 27 ปี
ในปี ค.ศ. 1795


นโปเลียนแต่งงานกับ โจเซพพิน ซึ่งอายุแก่กว่าเขาถึง 6 ปี สมาชิกสภาไดเร็คทอรี่เห็นความสามารถของนโปเลียนจึงได้แต่งตั้งให้นโปเลียนเป็นแม่ทัพของฝรั่งเศส ในการทำสงครามทางตอนเหนือของอิตาลีกับพวกกองทัพสัมพันธมิตรหลังวันอภิเษก 2 วัน ในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1796

นึ่งปีหลัง จากนั้น นโปเลียนก็สามารถขับไล่กองทัพของออสเตรียออกไปได้ เขาพยายามสร้างความก้าวหน้าให้กับตัวเอง ด้วยการไปทำการรบที่อียิปต์ ขณะที่นโปเลียนอยู่ที่อียิปต์เขาได้นำกองทัพทหารที่รวบรวมไว้กลับกรุงปารีสและได้ทำการขับไล่พวกสมาชิกสภาเสีย โดยการประกาศยุบสภาในปี ค.ศ. 1799 และได้ตั้งตัวเองดำรงตำแหน่งกงสุลอันดับหนึ่งตลอดชีวิต แต่แล้วในปี ค.ศ. 1804 นโปเลียนได้ยุบตำแหน่งกงสุลอันดับหนึ่งตลอดชีวิต และได้เปลี่ยนตำแหน่งตัวเองเป็นจักรพรรดิ

การรบครั้งยิ่งใหญ่ของนโปเลียนเป็นที่รู้จัก คือ การรบที่ตำบลวอร์เตอร์ลู ซึ่งเป็นการรบครั้งสุดท้ายของนโปเลียน ซึ่งพ่ายแพ้แก่นายพลที่เก่งที่สุดของอังกฤษ คือ ดยุค แห่ง เวลลิงตัน ก่อนที่จะถูกเนรเทศให้ไปอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนเกาะเซนต์เฮเลนา และ ตายในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1821 รวมอายุได้ 52 ปี คำสุดท้ายของนโปเลียนก่อนตาย คือ "ฝรั่งเศส...กองทัพ...แม่ทัพทั้งหลาย...โจเซพพิน"

SADDAM HUSSEIN

SADDAM HUSSEIN
ซัดดัม ฮุสเซน (Saddam Hussein) หรือ ศ็อดดาม ฮุเซน อับดุลมะญีด อัลตีกรีตี  (28 เมษายน พ.ศ. 2480 - 30 ธันวาคม พ.ศ. 2549) เป็นอดีตประธานาธิบดีของอิรัก ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปีพ.ศ. 2522 จนกระทั่งถูกจับกุมและถอดออกจากตำแหน่ง โดยกองกำลังนานาชาติซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกา ในช่วงสงครามอิรักปีพ.ศ. 2546 ซัดดัม ผู้สร้างกระแสคลื่นกดดันลูกใหม่ขึ้นมาอีก ด้วยการกระตุกขนพญาอินทรีย์โดยประกาศกร้าวว่าจะสอยเครื่องบินสอดแนม U-2 ที่เข้าไปหาข่าวในดินแดนของตนจนอเมริกันชักจะยั๊วขึ้นมาตะหงิดๆ ร่ำๆ อยากจะอบรมซัดดัมให้หราบจำซะให้รู้แล้วรู้รอดในสงครางอ่าวฯ


 ซัดดัมเคยเป็นผู้นำพรรคบะอัธ พรรคการเมืองหัวปฏิวัติของอิรัก ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มลัทธินิยมรวมชาติอาหรับโดยไม่อ้างอิงกับศาสนา การปรับระบบเศรษฐกิจให้ทันสมัย และระบอบสังคมนิยม ซัดดัม ได้มีบทบาทสำคัญในการก่อรัฐประหารในปีพ.ศ. 2511 ที่ทำให้พรรคบะอัธก้าวขึ้นสู่อำนาจในระยะยาว ในฐานะของรองประธานาธิบดี โดยมีนายพลอะฮ์มัด บะกัร ลูกพี่ลูกน้องของเขาที่มีสุขภาพอ่อนแอดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ซัดดัมจึงได้กุมอำนาจในการจัดการปัญหาข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลกับกองทัพ ในช่วงเวลาที่กลุ่มการเมืองต่าง ๆ ถูกมองว่าสามารถโค่นล้มรัฐบาลได้ทุกเมื่อ โดยซัดดัมได้จัดตั้งกองกำลังรักษาความมั่นคง เพื่ออุดหนุนอำนาจของเขาในการควบคุมรัฐบาลอิรักไว้ ในช่วงคริสตทศวรรษ ที่ 70 ราคาน้ำมันปิโตรเลียมที่พุ่งสูงขึ้นได้ช่วยให้เศรษฐกิจอิรักเติบโตขึ้นเป็นอย่างมากและในอัตราที่สม่ำเสมอ


 ตั้งแต่ก้าวขึ้นสู่บัลลังก์อำนาจของซัดดัมเขาก็ได้รับการชื่นชมว่าเป็น "สุนัขบ้า แห่ง ภูมิภาคตะวันออกกลาง" โดยเปิดศึกหลายด้านทั้ง อิสราเอล อิหร่าน และชนกลุ่มน้อยชาวเคิร์ด อย่างวุ่นวายอีรุงตุงนังยิ่งกว่าด้ายพันกัน ต่อจากนั้นอยู่มาไม่นานคงเริ่มคันมือคันไม้อีก จึงบุกยึดคูเวตมันเสียหน้าด้านๆ เลยเจอรุมกินโต๊ะจากฝ่ายพันธมิตรซะอ่วมอรทัย นี่สงบได้ไม่ทันไร เริ่มซ่าอีกแล้ว

บทบาทของลุงหนวดงามผู้นี้ ก็ใช่ว่าจะสุขสบาย ต้องคอยปลอมตัวออกงานตามงานสำคัญต่างๆ ตลอด เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการถูกลอบสังหาร เพราะศัตรูคุณลุงแกมีน้อยเสียเมื่อไหร่ ทั้งต่างประเทศ ทั้งในประเทศและรัฐบาล หรือแม้แต่คนในครอบครัวของแกเอง ต้องค่อยระวังกันทุกฝีก้าว กินอยู่หลับนอนหมุนเวียนไปเรื่อยไม่ปรากฎแน่ชัด คิดแค่นี้ก็กลุ้มสุดๆแล้วสำหรับคนธรรมดาอย่างเราๆ
ในฐานะที่ซัดดัมเคยเป็นประธานาธิบดี ซัดดัมได้พัฒนาลัทธินิยมตัวผู้นำอย่างบ้าคลั่ง ปกครองรัฐบาลเผด็จการ และกุมอำนาจไว้ได้ในช่วงสงครามอิรัก-อิหร่าน (ระหว่างปีพ.ศ. 2523 - พ.ศ. 2531) ในช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรก (ในปีพ.ศ. 2534) ซึ่งทำให้อิรักทรุดโทรม ทำลายทั้งมาตรฐานการครองชีพและสิทธิมนุษยชน รัฐบาลของซัดดัมได้จัดการกับการเคลื่อนไหวที่มีแนวโน้มเป็นภัยคุกคาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพวกชนกลุ่มน้อย หรือกลุ่มทางศาสนาที่ต้องการเรียกร้องอิสรภาพ หรือการปกครองตนเอง ในระหว่างที่ยังคงเป็นวีรบุรุษที่ประชาชนชื่นชม โดดเด่นในหมู่ผู้นำอาหรับอื่นๆ ในฐานะผู้ที่ลุกขึ้นต่อต้านสหรัฐ และให้การสนับสนุนปาเลสไตน์ ภายหลังสงครามอ่าวเปอร์เซียในปีพ.ศ. 2534 สหรัฐอเมริกาและชาติอื่นๆในประชาคมโลก ยังคงเฝ้าระวังจับตามองซัดดัมด้วยความหวาดระแวงว่ามีอาวุธที่มีอานุภาพทำลาย ล้างสูงไว้ในครอบครอง ซัดดัมได้ถูกถอดถอนโดยสหรัฐและฝ่ายพันธมิตรในการบุกอิรักเมื่อปีพ.ศ. 2546 ถูกจับกุมโดยกองกำลังสหรัฐเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2546 ในขณะที่ซ่อนตัวอยู่ในหลุมขนาดเล็ก ในฟาร์มแห่งหนึ่งชานเมืองตีกรีต เขาจะต้องขึ้นต่อสู้คดีในศาลพิเศษอิรักที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐบาลชั่วคราวของอิรัก

วันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ผู้พิพากษาศาลอิรัก สั่งลงโทษประหารชีวิตโดยการแขวนคอซัดดัม ในคดีสังหารหมู่ชาวชีอะห์ 148 คน ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองดูเญลเมื่อปีพ.ศ. 2525 โดยเขาถูกประหารชีวิตในวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2549 บริษัท WARRIORS จึงได้จับซัดดัมมาทำเป็นโมเดลขนาด 1/10 ไว้เป็นที่ระลึกมันเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป เผื่อใครจะเอามาทำเป็นเป้าปืน หรือ เป็นของสะสมเอาไว้ใน Colection ก็ตามศรัธรา ขนาดกำลังพอเหมาะสามารถจัดร่วม BUST ที่คุณมีได้อย่างลงตัว

NORMAN SCHWARZKOPF

NORMAN SCHWARZKOPF
ายพลนอร์แมน ชวาร์ซคอฟ คู่แค้นคนสำคัญกับซัดดัมในสงครามอ่าวเปอร์เซีย เขาเป็นนายพลระดับ 4 ดาว (พลเอก) ผู้บังคับบัญชาการนำเหล่าทหารอเมริกันเข้าประจันอริราชศัตรูตามคำบัญชาของประธานาธิปดีแห่งสหรัฐอเมริกา


นอร์แมน เคยมีประวัติการรบอย่างโชกโชนมาแล้วตั้งแต่วัยหนุ่มในสงครามเวียตนาม ทั้งยังเคยเป็นอาจารย์สอนในโรงเรียนนายร้อยเวสตส์ป๊อยท์ อันมีชื่อเสียงโด่งดังของอเมริกา ลูกศิษย์ลูกหาเต็มกองทัพไปหมด

ในสมัยก่อนที่จะก้าวเข้ามาถึงตำแหน่งระดับผู้บัญชาการเฉกเช่นในช่วงสงคราวอ่าวฯ จุดนี้เป็นจุดสูงสุดของชีวิตนายทหารผู้เริ่มเข้าสู่วัยเกษียรอายุราชการ เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นมา บริษัทใหญ่ๆทั้งหลายต่างรุมจีบ เพื่อที่จะให้นอร์แมนไปเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทเหล่านั้น ในยุคที่นายพลผู้นี้รุ่งเรืองเข้าได้รับฉายามากมายจากผู้ใต้บังคับบัญชา เช่น THE BEAR หมียักษ์ผู้กล้าหาญสมดังลักษณะนิสัยที่ดุดันเป็นคนจริงของเขา


สงครามอ่าวเปอร์เซีย หรืออาจเรียกสั้น ๆ ว่า สงครามอ่าว (Gulf War) หรือที่รู้จักกันว่า สงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งที่หนึ่ง, สงครามอิรัก ก่อนที่จะใช้เรียกการรุกรานอิรักเมื่อ พ.ศ. 2546 และเรียกกันด้วยความเข้าใจผิดว่า ปฏิบัติการพายุทะเลทราย ซึ่งเป็นชื่อของปฏิบัติการเพื่อการรับมือทางทหาร เป็นความขัดแย้งทางทหารที่เริ่มโดยกองกำลังผสมจาก 34 ประเทศโดยมีสหประชาชาติเป็นผู้ดูแล กับอิรักและรัฐบาลร่วมที่ต้องการขับไล่กองกำลังอิรักออกจากคูเวตหลังจากที่อิรักเข้ายึดครองคูเวต ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2533

ารรุกรานคูเวตโดยกองทัพอิรักที่เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2533 ได้รับการประณามจากนานาชาติ และนำไปสู่การลงโทษทางเศรษฐกิจทันทีโดยสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประธานาธิบดีสหรัฐ จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช ส่งกำลังอเมริกันไปยังซาอุดิอาระเบียเกือบ 6 เดือนหลังจากนั้น และกระตุ้นให้ประเทศอื่นส่งกำลังของตนเข้ามายังสถานที่ดังกล่าวด้วย มีหลายประเทศเข้าร่วมกำลังผสมด้วย โดยมีกำลังทหารส่วนใหญ่มาจากสหรัฐอเมริกา ซาอุดิอาระเบีย สหราชอาณาจักรและอียิปต์เป็นผู้ให้ความร่วมมือหลัก ซาอุดิอาระเบียระดมทุนให้ประมาณ 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จากงบประมาณทั้งหมด 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในสงครามครั้งนี้

ความขัดแย้งระยะแรกเพื่อขับไล่กองทัพอิรักออกจากคูเวตเริ่มต้นขึ้นจากการ ทิ้งระเบิดทางอากาศเมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2534 ตามมาด้วยการโจมตีภาคพื้นดินเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ สงครามดังกล่าวสิ้นสุดลงด้วยชัยชนะอย่างเด็ดขาดของกองกำลังผสม ผู้ซึ่งปลดปล่อยคูเวตและรุกเข้าไปในพรมแดนอิรัก กองกำลังผสมยุติการรุกคืบ และประกาศหยุดยิง 100 ชั่วโมงหลังจากการทัพภาคพื้นดินเริ่มต้นขึ้น การรบทางอากาศและพื้นดินจำกัดอยู่ภายในอิรัก คูเวต และพื้นที่บริเวณพรมแดนของซาอุดิอาระเบีย อย่างไรก็ตาม อิรักได้ปล่อยขีปนาวุธสกั๊ดต่อเป้าหมายทางทหารของกองกำลังผสมในซาอุดิอาระเบียและต่ออิสราเอล

ADOLF HITLER

ADOLF HITLER
าถึงพระเอกของเรา หรือ ผู้ร้ายที่ชาวอิสราเอลรังเกียจกันทั้งประเทศ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ประวัติของบุคคลผู้นี้ได้เคยมีการเขียนหรือทำเป็นสารคดีมากมาย ก็คงจะไม่ต้องกล่าวถึงกันมาก แต่เอาสักหน่อยก็ยังดี เผื่อคนที่ยังไม่รู้ประวัติของชายผู้นี้จริงๆ จะได้รู้กัน


อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เกิดเมื่อ 20 เมษายน ค.ศ. 1889 (พ.ศ. 2432) ที่เมืองลินธ์ (Lynch) ทางตอนเหนือของ ออสเตรีย ต่อกับ เยอรมัน เดิมฮิตเลอร์มีความใฝ่ฝันว่าจะเป็นจิตรกรหรือสถาปนิกที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการทหารเลย ต่อมาก็ถูกเกณฑ์เข้าเป็นทหารราบในกองทัพเยอรมันจนได้ยศสิบโทจากสงครามโลกครั้งที่ 1 และที่สงครามโลกครั้งที่ 1 นี้ ฮิตเลอร์ได้รับเหรียญกางเขนเหล็กขั้นที่ 1 ในปี 1914 ที่หลาย ๆ คนอาจจะไม่รู้คือ นายทหารที่เป็นผู้มอบเหรียญกางเขนเหล็กให้กับสิบโท อดอร์ฟ ฮิตเลอร์ ก็คือร้อยโท ฮูโก้ กู๊ดมานน์ (Oberleutrant Hugo guttmann) และเป็นชาวยิวด้วย

หลังจากเยอรมันต้องแพ้สงครามและถูกกดดันคงมีสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม เช่น สนธิสัญญาโลคาโน (Locano treaty), สนธิสัญญาแวร์ชายล์ (Versaile treaty) ทำให้เกียรติภูมิแห่งชาติเยอรมันต้องตกต่ำลงไป


ฮิตเลอร์และผู้รักชาติชาวเยอรมันรวมตัวกันตั้งพรรค "แรงงานชาตินิยมเยอรมัน" (Nazional Socialiche Deutche Arbeiter Partei) หรือที่เรียกย่อๆว่า พรรคนาซี จนในที่สุด ฮิตเลอร์และพรรคนาซีของเขาก็พาเยอรมันไปสู่อะไร ก็เป็นที่รู้กันทั่วโลก

PIRATE CAPTAIN

PIRATE CAPTAIN
ลังจากยุคที่เป็นสงครามชุดเกราะผ่านไป เริ่มเข้าสู่ยุคของการค้นหาแผ่นดินใหม่ มนุษย์เริ่มรู้จักชนเผ่าอื่นๆ ที่ไม่ใช่พวกพ้องเผ่าเดียวกัน เริ่มรู้จักการใช้ดินปืน เริ่มรู้จักการใช้ปืนในการทำศึกสงคราม

ธงดำมีรูปหัวกระโหลกและกระดูกไขว้สีขาว เป็นสัญลักษณ์ของโจรสลัด พวกนี้เหมือนกลุ่มชนเร่ร่อน ที่มีชีวิตอาศัยอยู่บนเรือ และจะขึ้นบกเวลามีเรื่องสำคัญเท่านั้น เช่น ซื้อเสบียง ช่วงหลังคริสต์ศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา เรื่องราวของกลุ่มโจรสลัดเป็นที่เล่าขาน เรื่องราวของการหาสมบัติตามลายแทง มีปัญหาให้ขบคิดก่อนที่จะเจอขุมทรัพย์ มีภาพยนตร์มากมายหลายเรื่องที่สร้างเกี่ยวกับโจรสลัด 
ที่ผ่านมาไม่นานมานี้ก็เห็นจะเป็นเรื่องคัทโทรธ อันนั้นก็เป็นเรื่องราวของการตามล่าหาขุมทรัพย์ตามลายแทง หรือ เรื่องราวของนิทานในวัยเยาว์การผจญภัยไปในดินแดนที่น่าตื่นเต้นของปีเตอร์แพนและกัปตันฮุค ผมเชื่อว่าคุณคงเคยสมมุติตัวเองเวลาที่คุณเล่นกับเพื่อนๆเมื่อตอนยังเป็นเด็กแน่ๆ

แต่ในความเป็นจริงโจรสลัดที่มีอยู่จริงในราวศตวรรษที่ 15 มีความโหดร้ายและจริงจังมากกว่าในภาพยนตร์หลายเท่า อย่างโจรสลัดที่ชื่อ Long John Silver นั้นก็เป็นโจรสลัดที่เคยครอบครองน่านน้ำมาแล้วในอดีต

GERMAN MERCENARY

GERMAN MERCENARY
บัทตัวนี้เป็นตัวที่เกิดในยุคสมัยระหว่างปี ค.ศ. 1618-1648 ซึ่งเป็นช่วงของสงครามที่เรียกว่า "สงคราม 30 ปี" สงครามนี้เป็นสงครามที่เกิดขึ้นเนื่องจากศาสนาที่ต่างลัทธิ ระหว่าง จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันซึ่งนับถือโรมันคาทอลิกกับประเทศต่างๆในยุโรป ซึ่งนับถือโปแตสแตนท์เป็นส่วนใหญ่


ในสมัยของจักรพรรดิรูดอร์ฟที่ 2 (Rudolf 2 ค.ศ. 1576-1612) พระองค์เห็นว่านิกายโปแตสแตนท์เริ่มมีกำลังเข้มแข็งขึ้นจนน่ากลัว จึงสนับสนุนให้แม็กซิมิเลียนแห่งบาวาเรีย ซึ่งเป็นคาทอริกให้ฟื้นฟูคาทอลิกให้เข้มแข็ง เพื่อต่อต้านพวกโปแตสแตนท์ ทำให้พวกโปแตสแตนท์ทางใต้ของเยอรมันเกิดความวิตกดังนั้นพวกนี้จึงตั้งสหภาพอีแวนเจลิเคิล มีพระเจ้าเฟรดเดอริคคนที่ 4 และคริสเตียนแห่งแอลฮอทท์เป็นหัวหน้าในปี ค.ศ. 1609 พวกคาทอลิกจึงได้ก่อตั้งสมาคมขึ้นมาบ้าง เรียกว่าสันนิบาตคาทอลิก มี แม็กซิมิเลียนเป็นหัวหน้า ใน ค.ศ. 1609 ชาวเชคส์บังคับให้จักรพรรดิรูดอร์ฟ ประทานรัฐธรรมนูญ ที่รับรองว่า ชาวเชคส์มีเสรีภาพในการประกอบพิธีทางศาสนา พอดีขณะนั้นจักรพรรดิเฟอร์ดินานที่ 2 ได้รับตำแหน่งกษัตริย์ของประเทศโบฮีเมีย ซึ่งชาวเชคส์ส่วนใหญ่อาศัยอยู่

พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่เคร่งครัดต่อนิกายโรมันคาทอลิกมาก เคยศึกษาอยู่ในสมาคมเยซูอิต ซึ่งสอนให้ทำลายล้างพวกโปแตสแตนท์ และคนนอกศาสนาให้หมดสิ้น ดังนั้นพอเป็นกษัตริย์ จึงพยายามยกเลิกรัฐธรรมนูญ และเริ่มบีบคั้นพวกโปแตสแตนท์ในโบฮีเมีย ทำให้ชาวเชคส์ไม่พอใจเป็นอันมาก ในวันที่ 23 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1618 ชาวเชคส์ที่เป็นโปแตสแตนท์ได้จับอาวุธเข้าต่อต้าน และเดินขบวนเข้าไปในพระราชวัง ณ กรุงปราค และจับผู้สำเร็จราชการ 3 คน โยนลงมาจากหน้าต่าง แต่ไม่บาดเจ็บมากนัก

นอกจากนั้นยังได้ก่อตั้งรัฐบาลลับเฉพาะกาลขึ้นใน ค.ศ. 1619 อันเป็นปีที่พระเจ้าเฟอร์ตินานด์ที่ 2 ได้ดำรงตำแหน่งจักรพรรดิชาวโปฮีเมียได้เชิญเฟรดเดอริคที่ 5 ราชบุตรเขยของพระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ เป็นกษัตริย์แห่งโปฮีเมีย ชาวคาทอลิกถือว่าโปแตสแตนท์เป็นศัตรู และกบฏ สงครามนี้จึงได้เกิดขึ้นเป็นเวลายาวนานถึง 30 ปี ( สงคราม 30 ปี )